ครั้งพุทธกาลเราทราบแล้วว่า พระพุทธเจ้าเป็นผู้ประทานพระโอวาทเองและอบรมพระ เรื่องศีล เรื่องสมาธิ เรื่องปัญญา ตามพุทธกิจที่พระองค์ทรงดำเนิน เมื่อพระองค์ประทานพระโอวาทแก่บรรดาพระสงฆ์ จิตทุกดวงก็ต่างตั้งไว้ในระดับพอดีกับกำลังความสามารถของตน ธรรมเทศนาที่ประทานออกมานั้น ย่อมล่วงไหลเข้าสู่จิตใจ โดยเฉพาะตามขั้นตามภูมิของแต่ละองค์ พอเหมาะพอสม พอดิบพอดี เรื่อยๆ ไป
องค์ที่ภูมิจิตอยู่ในระยะนี้ เมื่อสดับธรรมจากท่านแล้ว ก็หายสงสัยในขั้นที่ตนกำลังบำเพ็ญ และติดอยู่โดยลำดับๆ เพราะธรรมะท่านบุกเบิกทางให้เราผ่านไป ทีละเล็กละน้อย ขยับขึ้นไปเรื่อยๆ หลายครั้งหลายหนก็ผ่านไปได้ นั่นแหละที่ว่าพุทธบริษัทครั้งพุทธกาลฟังธรรมท่านได้สำเร็จ มรรค ผล นิพพาน เป็นจำนวนมาก จึงมีหลักฐานยืนยันในวงปฏิบัติเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน
ประการหนึ่งครั้งพุทธกาล ใจคนผิดกันอยู่มากกับสมัยปัจจุบันนี้เกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมในครั้งโน้น ไม่ค่อยมีอะไรเป็นเครื่องกวนใจ และส่งเสริมกิเลสมากเหมือนปัจจุบันนี้ ซึ่งมองไปทางทิศใด ฟังไปทางทิศใด เต็มไปด้วย “เพชฌฆาต” เครื่องสังหารธรรม สังหารคนให้เสียหายและล่มจมไปอย่างสดๆ ร้อนๆ ไม่สมกับคำว่า “โลกเจริญ” สมกับการเรียนมาก รู้มากเลย
ครั้งโน้นมีธรรมชาติ ธรรมชาติที่อาศัยกันอยู่เท่านั้น เหมือนอย่างจดหมายของหลวงพ่อองค์หนึ่งที่มีมาวันนี้เอง อ่านแล้วชื่นใจ ท่านพูดเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม ที่มีแต่ป่าแต่เขา เสียงนกและสัตว์ต่างๆ สนุกภาวนาตลอดกาล เรื่องยั่วยุกิเลสก็ไม่มาก คนก็ตรงไปตรงมา ธรรมก็เป็นธรรมของจริง เมื่อแสดงออกไปมากน้อย ก็เป็นที่ซาบซึ้งสำหรับผู้ฟังโดยลำดับลำดา เมื่อฟังแล้วก็นำไปประพฤติปฏิบัติตามสถานที่ต่าง ๆ ที่เหมาะสมแก่การบำเพ็ญของตนตามจริตนิสัย เมื่อเกิดข้อข้องใจอะไรก็มาทูลถาม พระองค์ก็ทรงชี้แจงให้ทราบ และประทานโอวาทให้ทั่วถึงกัน
นี่เป็นธรรมประเพณีในครั้งพุทธกาล ท่านดำเนินมาโดยลำดับลำดา ถือการปฏิบัติเป็นสิ่งสำคัญมาก ยิ่งกว่ากิจอื่นใดในวงพระศาสนา ผิดกับสมัยปัจจุบันนี้มาก
สมัยนี้ เราทุกคนก็พอจะทราบกันได้ว่าเป็นอย่างไร
ความเคลื่อนไหวของศาสนา และผู้ประพฤติธรรม มีผิดแปลกกันอยู่มาก ครั้งโน้นมีหลักเกณฑ์สำคัญประจำใจของนักบวช และพุทธบริษัททั่วไป คือการปฏิบัติเพื่อมรรคผล นิพพาน จริง ๆ การแสดงออกแห่งธรรม จากความรู้จริง เห็นจริง เป็นสิ่งที่แจ่มแจ้งชัดเจน ตามเหตุตามผลตามความสัตย์จริง ไม่มีคลาดเคลื่อนเลื่อนลอย ผู้ฟังก็ได้ผลเต็มเม็ดเต็มหน่วย เพราะผู้แสดงธรรมไม่มีความสงสัยในการแสดง ว่าแสดงไปนั้น เห็นจะถูก หรือน่าจะถูก น่าจะเป็นอย่างนั้น น่าจะเป็นอย่างนี้ ไม่มี! สำหรับท่านผู้รู้จริง เห็นจริงในธรรมโดยสมบูรณ์แล้ว ท่านแสดงอย่างตรงไปตรงมา เฉพาะอย่างยิ่ง ดังท่านอาจารย์มั่นแสดงธรรมแก่พระสงฆ์ ไม่ปรากฏมีคำว่า “เห็นจะเป็นอย่างนั้น เห็นจะเป็นอย่างนี้” แฝงอยู่ในโอวาทของท่านเลย ท่านสอนอย่างเด็ดเดี่ยวอาจหาญ ตรงไปตรงมา ตามหลักความจริงแห่งธรรมแท้
เวลาไปอยู่กับท่าน ก็เป็นเวลาหลายปี ไม่เคยได้ยินคำว่า “เห็นจะเป็นอย่างนั้น” มีแต่ว่า “ต้องอย่างนั้น ต้องอย่างนี้” และเน้นหนักลงไปอย่างเข้มข้นทีเดียว ฟังท่านเทศน์อย่างถึงใจ จิตใจมันพองขึ้นเหมือนว่า พระนิพพานนั้นจะเอื้อมถึงอยู่ในขณะนั้น
ท่านเทศน์เปิดทางให้มองเห็นของจริง จริง ๆ แต่มันไปไม่ได้ เหมือนกับเอื้อมมือถึงอยู่ แต่จับไม่ได้ เป็นลักษณะนั้น
นี่แหละการเทศน์ออกมาจากความรู้จริงเห็นจริง ผลจึงต่างกันอยู่มาก
พระพุทธเจ้าทรงแสดงเองก็เป็นอย่างนั้น บรรดาพระสาวกแสดงก็เป็นอย่างนั้น ท่านพระอาจารย์แสดงก็เป็นเช่นเดียวกัน เพราะท่านรู้จริง เห็นจริง เช่นเดียวกับพระพุทธเจ้าในความบริสุทธิ์ ส่วนธรรมอื่นๆ นั้น ก็เป็นไปตามภูมิวาสนาของท่าน แต่เรื่อง “สัจธรรม” นั้นเป็นความแจ่มแจ้งสมบูรณ์เต็มที่ภายในใจด้วยกัน ถึงขั้นพระอรหันต์แล้วต้องสมบูรณ์เต็มที่
การแสดงธรรมออกจากความจริงทั้งหลายดังกล่าวนี้ จึงแสดงได้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย เต็มอรรถเต็มธรรม เต็มใจ ไม่มีสงสัย ไม่มีสะทกสะท้าน ว่าอันนั้นน่าจะถูก อันนี้น่าจะถูก ไม่มีในจิตของพระอรหันต์ทั้งหลาย เพราะท่านรู้จริงเห็นจริง อย่างแจ่มแจ้งไม่มีอะไรสงสัย
การแสดงธรรม จะเป็นประเภทใดก็ตาม ท่านแสดงได้โดยละเอียดทั่วถึง สมาธิก็แจงไปอย่างละเอียดลออ แสดงถึง “ฐานของสมาธิ” ปัญญาทุกขั้น แสดงให้ถึงฐานของปัญญานั้นๆ จนถึงขั้น “วิมุตติ หลุดพ้น” แสดงออกมาจากใจจริง ที่รู้จริง เห็นจริงแล้ว
ผู้ฟังก็สามารถเข้าใจได้ แม้จะยังละยังถอนไม่ได้ ก็เป็นเครื่องปลูกศรัทธา ความเชื่อ ความเลื่อมใส ความตั้งมั่นภายในใจ ให้มีความแน่นหนามั่นคงขึ้นได้โดยลำดับ ๆ ท่านจึงตักตวงเอามรรค เอาผล นิพพาน กันเรื่อยมาไม่ขาดวรรคขาดตอน
สมัยโน้นเป็นสมัยตักตวงมรรค ผล นิพพาน เป็นสมัยตักตวงข้อวัตรปฏิบัติ การบำเพ็ญก็เต็มเม็ดเต็มหน่วย เต็มกำลัง ผลที่พึงได้รับจึงเป็นที่พึงพอใจ
สมัยของพวกเรานี้เป็นสมัย “ลูบคลำ” ลูบนั้น คลำนี้ คลำไปคลำมา ก็ได้แต่ความสกปรกโสมมเต็มหัวใจ สิ่งเป็นอรรถเป็นธรรม พอจะเป็นเครื่องถอดถอนกิเลสไม่มี มีแต่เครื่องพอกพูนกิเลส เรียนหรือจดจำมาได้มากน้อย ก็มีแต่เรื่องจะพอกพูนกิเลสแทบทั้งนั้น มันตรงกันข้ามกับสมัยพุทธกาลอย่างมากจนไม่น่าเชื่อ แต่ก็เป็นอย่างนั้นจริง ๆ
จะว่า “ธรรมไม่มีผล” สมัยนี้ ก็ถูก เพราะคนไร้ผล เนื่องจากความไร้เหตุ
เหตุที่จะเป็นไปเพื่อผลนั้นๆ ไม่ค่อยมี หรือไม่มี ผลจะมีได้อย่างไร! ไร้เสียหมด! ไม่สนใจ ไม่ประพฤติปฏิบัติ ผลจะเกิดขึ้นมาได้อย่างไร เพราะผลเกิดขึ้นจากเหตุตั้งแต่ไหนแต่ไรมา
เหตุดีผลดี เหตุเต็มที่ ผลก็เต็มเม็ดเต็มหน่วย เหตุไม่มี ผลจะเอามาจากไหน ธรรมก็สักแต่ว่าธรรมที่มีอยู่ในตู้ ในหีบ ในคัมภีร์ใบลาน ที่ท่านแสดงไว้อย่างไรก็มีอยู่อย่างนั้น ถ้าคนไม่ประพฤติปฏิบัติให้เป็นไป ผลก็ไม่ปรากฏ
เรื่องของกิเลส ก็อยู่กับใจของคน ไม่อยู่กับตำรับตำรา ในตำรับตำรามีแต่ชื่อของกิเลสตัณหาอาสวะ มีแต่ชื่อของ มรรค ผล นิพพาน ตัวกิเลสจริงๆ และ มรรค ผล นิพพาน จริงๆ อยู่ที่ใจ ซึ่งอยู่กับบุคคล
เมื่อตั้งใจประพฤติปฏิบัติ ตั้งใจถอดถอนกิเลสอาสวะต่างๆ ที่มีอยู่ในหัวใจ อย่างจริงจัง ทำไมจะถอนไม่ได้ เพราะธรรมเป็นเครื่องถอดถอนกิเลส มาตั้งแต่ไหนแต่ไรอยู่แล้วและพร้อมที่จะถอนเสมอ ถ้าเรานำธรรม คือเครื่องมืออันถูกต้องไปถอดถอนจริงๆ ดังพระพุทธเจ้า และพระสาวก ท่านดำเนินมา และสั่งสอนไว้แล้ว เพราะฉะนั้นสมัยโน้นกับสมัยนี้ จึงไม่มีอะไรผิดแปลกแตกต่างกัน เพราะกิเลสบาปธรรมมีอยู่ที่ใจด้วยกัน จงพากันประพฤติปฏิบัติเพื่อกำจัดมัน ตามหลักธรรมที่ประทานไว้โดยถูกต้องแล้วนั้น
Comments